วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

น้ำแข็งก้อนใหญ่ กับนาฬิกาทรายเรือนยักษ์




นานมาแล้ว โลกเป็นเพียงวัตถุทรงกลมเรียบๆเปล่าๆ

ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจาก
น้ำแข็งก้อนใหญ่กับนาฬิกาทรายเรือนยักษ์

ที่มีปลายเปิดสามารถปล่อยทรายออกได้อย่างเดียว........

น้ำแข็งกับนาฬิกาทรายเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก

ร่วมทุกข์ร่วมสุข
จนทั้งคู่เติบใหญ่เข้าสู่วัยหนุ่มสาว.....
ความงดงามของน้ำแข็ง ทำให้นาฬิกาทรายแอบชื่นชมหลงใหล
แต่ทุกครั้งที่พยายามแสดงความสนิทสนมใกล้ชิด
ความเย็นชาจากน้ำแข็งก็ทำให้นาฬิกาทรายต้องผิดหวังทุกทีไป

วันหนึ่งนาฬิกาทรายทะเลาะกับน้ำแข็งอย่างรุนแรงถึงขั้นแตกหัก
นาฬิกาทรายร้องไห้เสียใจหนีไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่านาฬิกาทรายกับน้ำแข็งก็ยังไม่คืนดีกัน
ต่างคนต่างอยู่คนละซีกโลก จนมาวันหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
ทำให้โลกจะต้องแตกออกเป็นสองส่วน

น้ำแข็งรู้ดีว่าถ้าโลกแตกเป็นสองส่วนแล้ว
ก็คงไม่ได้เจอกับนาฬิกาทรายตลอดกาล
แต่ด้วยทิฐิที่มีอยู่....
น้ำแข็งจึงเลือกที่จะอยู่นิ่งๆแทนที่จะออกตามหานาฬิกาทราย
ดวงจันทร์โคจรผ่านมา
น้ำแข็งจึงถามว่าอีกซีกโลกเป็นอย่างไรบ้าง

ดวงจันทร์บอกว่า นาฬิกาทรายกลับมาไม่ทันเพราะโลกกำลังจะแยก
จึงปล่อยทรายออกมาปกคลุมรอยแตกของโลก เพื่อยึดไว้ไม่ให้แยกออกจากกัน
โดยหวังว่าจะได้กลับมาพบน้ำแข็งอีก
ทันทีที่รู้ น้ำแข็งก็รีบออกตามหานาฬิกาทราย........

สายเกินไป ทรายกำลังจะหมดจากตัวนาฬิกาแล้ว
เมื่อน้ำแข็งมาถึงก็ได้ยินเพียงคำพูดสุดท้าย....จากปากของนาฬิกาทราย
"ฉันรักเธอ"ความเย็นชาที่มีในตัวน้ำแข็งหมดลงทันที....
น้ำแข็งจึงเริ่มละลาย....

ในขณะที่ทรายเม็ดสุดท้ายร่วงลงสู่พื้นดิน
กลายเป็นน้ำทะเลที่อ่อนโยน

คอยโอบอุ้มผืนทรายที่บริสุทธิ์
อยู่คู่กันมาจนทุกวันนี้

**~~!!~~**~~!!~~**..~~นาฬิกาทราย~~..**~~!!~~**~~!!~~
ในบางช่วงของชีวิต….อาจหมดแรงใจ
เหมือนเม็ดทรายที่ใกล้หมด…..ในขวดแก้วใสของนาฬิกา....

หากเพียงว่า...เรากล้าเริ่มต้นใหม่
เพียงพลิกขวดแก้วนาฬิกากลับไป
จะพบว่าชีวิตยังคงอยู่ได้...ด้วยแรงใจ
ดั่งเม็ดทรายที่ยังมี...ในนาฬิกา….

~~!!~~**~~!!~~**..~~The end~~..**~~!!~~**~~!!~~

แล้ววันนี้ คุณเป็นอย่างนาฬิกาทรายหรือไม่!!! 

ขอขอบคุณ http://www.google.co.th/imgresimgurl=http://board.goosiam.com/imgupload/q083341.jpg&imgrefurl

บันได 6 ขั้นเพื่อก้าวสู่สุดยอดการบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จ


ท่านเคยถามตัวเองอย่างนี้บ้างหรือไม่?

“ฉันอยากจะมีเวลาซักวันละ 30 ชั่วโมง”
"ฉันอยากมีความสุขกับชีวิตมากกว่านี้”
“ฉันมักจะถูกไฟลนก้นอยู่เสมอ”
“ฉันหาสมดุลของชีวิตการทำงาน และครอบครัวไม่ได้”           
“ฉันเครียดเหลือเกินแล้วใช่ไหมเนี้ย"  
            
                   เวลา คือสิ่งที่สำคัญ เพราะแล้วหมดไป มีเงินเท่าไรก็ไม่สามารถหาซื้อได้
ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน หรือ 1,440 นาที แต่ทำไม? บางคนถึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
มีครอบครัวที่อบอุ่น และการงานก็เจริญก้าวหน้า ตรงข้ามกับใครอีกหลายคน ที่ต้องทำงานกลับบ้านดึก
หอบงานกลับไปทำต่อที่บ้าน เสาร์ อาทิตย์ ก็ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว นี่นะหรือชีวิตของฉัน? หลายคนติดอยู่กับกับดักของความเร่งด่วน เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น มีงานมากจนเกินความสามารถ หรือไม่กล้ามอบหมายงานให้คนอื่นทำ เลยทำเองทั้งหมด ไม่กล้าให้คนอื่นทำงานแทน เพราะกลัวขาดความสำคัญ หรือจัดลำดับงานไม่ได้ เพราะงานทุกชิ้น ก็ด่วนทุกชิ้น เป็นต้น                      
                   การบริหารเวลาถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะคุณค่าของเวลานั้น ขึ้นอยู่กับคุณค่าของการใช้เวลาของตัวเราเอง เพราะถ้าหากเราใช้เวลาในปัจจุบันได้อย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด นั่นก็จะเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จในอนาคตของเราอย่างแน่นอน ตรงข้าม หากเราปล่อยชีวิตไปวันๆ จุดจบสุดท้ายของชีวิต ก็คือความล้มเหลวโดยไม่ต้องสงสัยวันนี้ท่านได้ใช้เวลาไปคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด และสิ่งที่ทำไปในแต่ละวันนั้นมีส่วนช่วยทำให้ท่านบรรลุความฝันที่ได้ตั้งใจเอาไว้หรือไม่? ถ้าใครตอบว่า "ใช่" ก็ดีใจด้วย แต่ถ้าหากใครตอบว่า "ไม่ใช่" ก็ดีใจด้วยเหมือนกัน เพราะว่าอย่างน้อย
ท่านก็รู้ตัวว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องรีบปรับปรุงตัวแต่ถ้าใครตอบว่า"ไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าใช้เวลาไปคุ้มหรือไม่" แล้วละก็ควรรีบวิเคราะห์ตนเองโดยด่วนเลย เพราะเวลาทุกนาทีเป็นเงินเป็นทอง ต้องใช้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
เท่าที่จะทำได้ โดยเรียกว่า บันได 6 ขั้นในการบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จ ดังนี้              
                   1. มีเป้าหมายชีวิตชัดเจน โดยเป้าหมายนั้นต้อง วัดได้ เป็นไปได้ ทำได้จริง ไม่เกินกำลังความสามารถของเรา                  
                   2. จัดลำดับความสำคัญเร่ง ด่วน อะไรสำคัญ กว่า เร่งด่วนกว่า ก็ลงมือจัดการกับงานนั้นก่อน จากนั้นก็ค่อยๆจัดการกับงานส่วนที่เหลือ สำหรับหลักการที่นิยมมากที่สุดคือ ควรจัดการกับงานที่สำคัญ แต่ไม่เร่งด่วน ซึ่งงานประเภทนี้มักจะเป็นการวางแผนงาน การป้องกัน การพัฒนา เป็นต้น          
                   3. ประเมินเวลาที่จะใช้จริงก่อนเริ่มงานในแต่ละวัน โดยก่อนที่จะเลิกงานในแต่ละวันควรวางแผนการปฏิบัติงาน เพื่อกำหนดกิจกรรมที่จะต้องปฏิบัติ และประเมินเวลาที่ต้องใช้ในแต่ละกิจกรรมนั้น นอกจากนี้ควรเผื่อเวลาเอาไว้อย่างน้อยอีกซัก 30 นาที หรือ1ชั่วโมง
เผื่องานด่วนเข้ามา        
                   4. ลงมือปฏิบัติตามกิจกรรมในแต่ละช่วงเวลาอย่างเคร่งครัด นั่นหมายถึงว่าท่านต้องมุ่งมั่นต่องานที่ปฏิบัติ โดยใช้เวลาตามที่ได้กำหนดไว้ ถ้าหากใช้เกินเวลาต้องรีบเร่งทำงานนั้นให้เสร็จโดยเร็วที่สุด                
                  5. กำจัดสิ่งรบกวน ในแต่ละวันจะมีพวกงานด่วน งานเร่ง งานจร
การขอคำปรึกษา การประชุมนอกแผนงาน ซึ่งเราไม่ได้วางแผนเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ซึ่งเราต้องเรียนรู้ที่จะกำจัดงานประเภทเหล่านี้ออกไปบ้าง อย่าไปรับเอามาเสียทั้งหมด (แต่อย่าทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเราปัดงาน หรือเป็นคนแล้งน้ำใจ ไม่ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น) เพราะงานเหล่านั้นจะรบกวนเวลาที่เราได้กำหนดเอาไว้ ซึ่งงานเหล่านั้นอาจกระทบต่อแผนการใช้เวลาที่เรากำหนดเอาไว้               
                6.  ทบทวนการใช้เวลา และเรียนรู้จากการใช้เวลาที่ผิดพลาด หลังจากใช้เวลาไปจนหมดวัน ก็มาทบทวนดูซิว่า เราใช้เวลาไปกับงานที่ช่วยสนับสนุนทำให้ชีวิตของเราเจริญก้าวหน้า งานที่ไม่เกี่ยวกับงานของเรา หรือใช้เวลาไปกับสิ่งที่ไม่ควรทำไปมากน้อยเพียงใด จากนั้นก็พิจารณาเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน                               

                 นี่ก็คือบันได 6 ขั้น เพื่อก้าวสู่สุดยอดการบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จครับ สุดท้าย จากการวิเคราะห์ผู้ที่มีความสามารถในการบริหารเวลาได้อย่างยอดเยี่ยมนั้นมีสิ่งที่เหมือนกันก็คือ "ความมีวินัยในตนเอง" เพราะความมีวินัยนี่แหละครับ คือปัจจัย ที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของความสำเร็จในทุกๆสิ่งที่เราต้องการ

เขียนโดย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ (
http://www.bt-training.com/)
Email:tpongvarin@yahoo.com ,Tel.089-8118340

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

I Am Chutikan ~ Rungarun

              Blog นี้เป็น Bolg แรกที่ฉันเขียน  ฉันคิดว่าฉันคงเขียนได้ดีก็คงเป็นเรื่องของตัวเอง 
ชื่อฉันตั้งแต่สมัยเด็ก  ๆ
ชื่อ "รุ่งอรุณ"  และใช้มาจนอายุประมาณเกือบ 28 ปี  จึงได้เปลี่ยนเป็น "ชุติกาญจน์" 
             

             ชื่อ "ชุติกาญจน์" เนี่ย!!  ดู(ดวง)เอง  เลือกเอง  ทั้งหมด  ตอนแรกนึกว่าจะไม่เหมือนใครสะแล้ว แต่ตอนนี้น่าจะมีมากกว่าหนึ่งโหลแล้วนะ  เฮ้อ!!(ไม่อยากเหมือนใครนะ)
             เป็นคนกาญจนบุรีตั้งแต่เกิด  เลยตั้งว่า "ชุติกาญจน์"
ใคร ๆ จะได้รู้ไงว่าเป็นคนเมืองกาญจน์แท้ ๆ 
             แต่คนส่วนใหญ่ชอบเขียนเป็น"ชุติกานต์" ทุกที!!

               ประวัติการศึกษา  เรียนจบ ม.ต้น ที่กาญจนบุรี  จบ ม.ปลายที่เชียงใหม่(คนละทิศละทางเลย) 
               จบปริญญาตรีใบแรกที่วิทยาลัยพลศึกษากรุงเทพ
จบทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา 
               ใบที่สองที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง จบทางด้านรัฐศาสตร์   (ปัจจุบันเรียนปริญญาโททางด้านพลศึกษาควบคู่ไปกับปริญญาตรีทางด้านนิติศาสตร์)

               ประวัติการทำงาน 
ทำงานครั้งแรกเป็นตำรวจ
ณ กองพิสูจน์หลักฐาน  
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 
จนถึงยศสิบตำรวจโท 
แล้วลาออกไปบรรจุเป็นพนักงานส่วนตำบลที่องค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม  ตำแหน่งบุคลากร  แล้วก็ย้ายมาที่กรมพลศึกษา  ตำหน่ง  เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน  ปัจจุบันได้ทำงานด้านกีฬาแล้ว  ตำแหน่งนักพัฒนาการกีฬาปฏิบัติการ  หลังจากอดทนต้องทำงานที่ตัวเองไม่ถนัดมาหลายปี  และคิดว่าคงทำงานทางด้านการพัฒนากีฬาต่อไปจนถึงเกษียณ

                ประวัติการกีฬา  เริ่มเล่นกีฬายกน้ำหนักวันที่ 14 เมษายน  2534  ติดเยาวชนทีมชาติ  ปี 2535  ติดทีมชาติชุดใหญ่ ปี 2538
                ผลงาน   3 เหรียญทองกีฬาเยาวชนแห่งชาติ จ.ศรีสะเกษ
                              3 เหรียญทองกีฬาเยาวชนแห่งชาติ จ.จันทบุรี
                              3 เหรียญทองกีฬาแห่งชาติ จ.สุพรรณบุรี
                              1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน ณ ประเทศไตหวัน
                              อันดับ 5  กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ณ ประเทศไทย
                เลิกเล่นกีฬายกน้ำหนักวันที่  8 มิถุนายน  2544 

                ทุกสิ่งทุกอย่างที่สะสมมาเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีคะ      ทำให้เป็นตัวตนของตนเองจนถึงทุกวันนี้ 
อย่างหนึ่งที่ใช้ในการดำเนินชีวิตตลอดมานั้น คือ

"กยิราเจกยิราเถนัง  การทำอะไร ทำจริง"


                 สำหรับ Blog แรกในชีวิต  คงจบแค่นี้คะ  ขอบคุณทุกคน
ที่เข้ามาอ่านนะคะ

                                อย่าลืม comment นะคะ